ผมขอหยิบบันทึกเหตุการณ์บางตอนของ" ภิกษุ บัว เหนือน้ำ " ตอนที่ท่านจาริกอยู่บนป่าเขาผ่านหนังสือเบิ่งคักคัก เกี่ยวกับเรื่องราวของผีกองกอย
ครั้งที่ท่านเดินพลัดหลงเข้าไปในป่าลึกที่ผีไม่ท่องคนไม่เที่ยว ทั้งวันหาทางกลับที่พักไม่ได้จนมืดค่ำตะวันตกดินความมืดมิดได้มาเยือนพร้อมเหตุการณ์สะเทือนขวัญดังข้อความที่ท่านบันทึกไว้ดังนี้...
"ขณะที่กำลังนั่งคิดปลงสังเวชถึงชีวิตที่จะต้องมาตายอยู่ ในท่ามกลางป่าลึกดงกว้าง ป่าช้างดงเสือ อยู่เพียงลำพังเดียวดายอยู่นั้น ข้าพเจ้าต้องตกใจตื่นสะดุ้งโหยง ขนลุกเกรียว พับผ่าเถอะ ไม่ทราบว่าเป็นผีหรือสัตว์กันแน่ที่กำลังจ้องเขม็งข้าพเจ้าอยู่ขณะนี้
มันจ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ และไม่ทราบว่าพวกมัน มาแต่เมื่อไหร่ตั้งสี่ตัว ทำไมมันถึงได้มาเงียบยิ่งกว่าสายลมดึก หยังงี้!
ข้าพเจ้านึกถึงภาพผีกองกอยทันที นึกถึงตอนที่มันแอบเข้ามาดูดเลือดคนนอนป่าอย่างเงียบกริบ ใช่แล้วภาพข้างหน้าจะ ต้องไม่เป็นมิตรกับข้าพเจ้าแน่ เพียงแต่ขณะนี้ไม่ทราบว่าพวกมัน เป็นผีป่าหรือสัตว์กันแน่ ข้าพเจ้ามองสำรวจท่าทีแต่ละตัว พวกมันก็ขยับเข้ามาใกล้ทุกขณะอย่างเงียบกริบห่างไม่ถึงสามวา ข้าพเจ้าดูภาพคล้ายสัตว์ประหลาดในนิทานเรื่องผีกองกอย
ครั้งแรกยอมรับว่ากลัวอยู่บ้างแต่เมื่อคิดปลงเสียแล้วว่ามันจะมาเหนือกว่าความเป็นพระของเราก็ให้รู้ไป
ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าจะทำยังไง จึงตัดสินใจลุกขึ้นยืน อย่างรวดเร็วแล้วจับผ้าสังฆาสลัดอย่างแรง ๆ เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของเจ้าสัตว์ประหลาดทั้งสี่นั้น ตานี้ได้ผลเพราะพวกมันเผ่นหนีไปคนละทิศละทาง
แต่ที่ข้าพเจ้าประหลาดใจจริง ๆ คือความเร็ว ของมันนั้นเอง มันเผ่นหนีข้าพเจ้าไวเสียยิ่งกว่าเอฟ ๑๖หรือ มิก ๒๕ ของไอ้แกวเสียอีก
เมื่อพวกมันหนีไปแล้วข้าพเจ้าก็โล่งใจ คิดว่าในป่าลึกดงกว้างนั้นยังมีอะไรอยู่มากมายที่ตกสำรวจ หรือ เครื่องมือสำรวจของนักนิยมไพรตามที่ข้าพเจ้าเคยได้อ่านยังไม่ถึง
คืนนั้นข้าพเจ้าจึงเตรียมที่จะรับมือกับเหตุร้ายต่าง ๆ ในป่าที่อาจจะ เกิดขึ้นได้ตามที่เคยได้ฝึกฝนและประสบมา
หลังจากเจ้าตัวประหลาดทั้งสี่ตัวหนีไปแล้วประมาณ ๒ ชั่วโมงท่ามกลางแสงเดือนส่องแสงสลัวลอดผ่านแมกไม้
คืนนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องของสัตว์ป่าชนิดหนึ่งเสียงเย็นจับใจ เหมือนเสียงร้องนั้นจะคอยสะกดให้ข้าพเจ้าต้องอยู่ในอำนาจของเสียงนั้น คล้ายเสียงเย็นๆแหลมๆว่า ก่องก่อย ก็อก เสียงนั้น ดังอยู่ห่างกันเป็นจุด ๆ ประมาณเกือบสิบจุด
ข้าพเจ้าคิดในใจว่า หากเจ้าของเสียงร้องเป็นข้าสึกจะโจมตีข้าพเจ้าในค่ำคืนนี้ก็นับว่าพวกมันแสนฉลาดมากที่รู้จักใช้ยุทธภูมิจัดกำลังเป็นรูปขบวนดาวว่าว ในการจะขยี้ข้าศึกให้แหลกลาญ
แล้วเจ้าของเสียงร้องที่เย็นจับใจนั้นก็ขยับเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าทุกขณะ
ใกล้จนข้าพเจ้าสามารถ มองเห็นตัวเจ้าของเสียงนั้นได้อย่างชัดเจนแล้วจึงรู้ว่าเจ้าของเสียงร้องที่เยือกเย็นไปถึงขั้วหัวใจว่า ก่องก่อย ก็อกๆๆๆ
ขณะนี้ก็คือไอ้สี่ตัวที่มันแอบจะเข้ามาจ้องตาข้าพเจ้าตอนหัวค่ำนั่นเอง
ใช่แน่แล้วพวกมันคือผีกองกอย ตัวเล็ก ๆ เหมือนลิงแต่ สูงกว่าเกือบเท่าตัว นัยน์ตาติดกัน มีฟันโผล่ออกมาข้างหน้าสองซี่ ขนสีน้ำตาลแก่ไม่มีหาง มีลักษณะคล้ายลิงมาก
เมื่อเจ้าผีกองกอย มันมาร้องเสียงเย็น ๆ จนข้าพเจ้าก็ขนลุกขนพองและไม่สามารถ จะทนนั่งฟังต่อไปได้ เพราะไม่ทราบว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
ในวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้านี้ จึงลุกขึ้นไปหอบเอาใบไผ่แห้ง กิ่งไม้แห้งมากองสุมรวมกันไว้เกือบสูงท่วมหัว แล้วก็จุดไม้ขีดสุมกองเศษไม้ใบไผ่แห้งนั้นจนลุกโพลงสว่างโล่
ขณะที่ไฟกำลังลุกโชติช่วงอยู่นั้นพวกมันทั้งสี่ตัวก็เผ่นแน่บหายไปตั้งแต่นั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็กระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจว่าผีหรือมันจะสู้คนได้ ที่ว่าแน่ ๆ ขนาดไอ้ลายพาดกลอนว่าแน่ก็เคยกลัวไฟจนตับลีบมาแล้ว
คืนนั้นข้าพเจ้าก็เป็นพระฤาษีบูชาไฟตลอดคืน จึงขอบอกเฉพาะญาติโยมที่ยังไม่พร้อมที่จะตายไว้ตรงนี้อีกครั้งว่าเวลานอนป่าแล้ว อย่าลืมก่อไฟแล้วกัน กันได้ร้อยแปดรวมทั้งยุงและตัวทากด้วยแล "
** ถ้าหากถามว่า..ผมเชื่อในเรื่องกองกอย หรีือไม่ ? ขอตอบว่า ผมไม่รู้ ผมไม่เห็น...ผมนอนนา !
**ขอบคุณภาพประกอบ
คุณ : ,,, (j_rkitex) พันทิป.คอม/เฉลิมไทย