ตามหา...ฟักทอง ?

ตอนฉันอยู่ป.6 ฉันคือพี่ใหญ่ น้องๆต้องเชื่อฟัง
พอฉันอยู่มัธยมต้น ม.1 ฉันต้องเชื่อฟังพี่ๆ ทำตัว
เจี๋ยมเจี่ยม เพราะฉันเป็นเด็ก

พอฉันอยู่ม.3 เริ่มมีประสบการณ์พอตัว รู้มาก่อน  โดนมาก่อน  พี่เจ็บเยอะไอ้น้อง !

สู่..ม.ปลาย ม.4 ฉันกลับเป็นเด็กละอ่อนของพี่ๆ  คำก็น้อง  สองคำก็น้อง  โน่นนี่นะน้อง จนฉันปวดเฮดไปหมด

พอฉันอยู่ม.6 จะทำอะไรก็ได้ไม่เคยกลัวเพราะฉันหญ่ายยย คับโรงเรียน(เปลี่ยนเสื้อหลายตัว)

เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่มหา'ลัยปี1 บรรลัยหละ ฉันกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งในสายตารุ่นพี่ๆที่มองมา
ความกร่างเก็บไว้ใช้กับเด็กมัธยม

พอฉันอยู่ปี 4  ฉันเริ่มใหญ่คับมหา'ลัย น้องๆต้องฟังและเคารพพี่นะ  ไม่งั้นงานงอก !(เอาคืนบ้าง)

พอฉันเรียนจบ เริ่มทำงานในโลกแห่งความจริง  

ฉันกลับเป็นเด็กอ่อนประสบการณ์ในที่ทำงาน ทำให้ฉันต้องเรียนรู้งาน ไม่งั้นโดนบอสดุแน่

ที่ผ่านมามันเหมือนเกลียวคลื่นที่ไล่กันมาเป็นลูกระนาดสาดซัดฝั่ง คลื่นแรกว่าใหญ่ คลื่นที่สองตามมายิ่งใหญ่กว่าอีก

"ที่สุด" ที่ฉันตามหา..มันสุดที่ไหนกัน หละ ?
ฉันคงอ่อนล้าหมดลมหายใจเสียก่อน หากฉันยังคงตามหา

คำว่าที่สุดที่เราตามหา...มิได้มีจริง 
การลืมตัวตนต่างหาก...ที่มีอยู่จริง !!



Share:

เอเลี่ยน ?

ตื่นเช้าทำกิจวัตรอาบน้ำปะแป้งแต่งตัว
ก่อนไปทำงานทานข้าวกับภรรยา​ เราเป็นสามี
ขับรถไปถึงโรงเรียน​ เราเป็นคุณครู
สายหน่อย​ผอ.​เรียกพบ​ เราเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา
เดินเข้าห้างชำระค่าเน็ต​  เราเป็นลูกค้า

กดรับสายลูกสาวโทรมา  เราเป็น ​ป๊ะป๋า
เปิดตู้จดหมายเจอใบแจ้งหนี้​ อั๊ยยะ​! เราเป็น​..ลูกหนี้


ตกเย็นไปตลาดเดินดูผักกาด​ ​แม่ค้าเรียก​ ลุง​ 
รับไม่ได้​ ... ฉันรับไม่ได้

ตั้งแต่เช้าจดเย็นไม่น่าเชื่อ​ เราเป็นอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด
คิดทบทวนก่อนหัวถึงหมอน​กับเหตุการ์ที่ผ่านมาสรุปแล้ว​
ใครเป็นกู... กูเป็นใคร​  กันฟะ​?

อย่าบอกนะว่า.... เอเลี่ยน​ !!

Share:

ขอบใจ... ที่บอกลา​ ชีวิตดี๊ดี​ !

ว้า​ !  น่าเสียดายจัง​  พอนู๋เรียนจบมักมีอะไรดีๆเพิ่มเติมเข้ามาในโรงเรียนเสมอ

พอนู๋​ กำลังจะสอบปลายภาค​จบป.6​ คุณครูก็บอกว่าเปิดเทอมหน้าจะได้คอมพิวเตอร์มาเพิ่มอีกหลายเครื่อง

พอนู๋​ เรียนจบมัธยมฯ อาจารย์ก็บอกว่าเปิดเทอมหน้าจะได้อาคารเรียนหลังใหม่หลายชั้นเรียน


ทุกอย่างมันเป็นวัฎจักร​การดำเนินชีวิต​ ชีวิตค่อยๆเปลี่ยนไปทุกวัน​โดยเราไม่ทันสังเกตุ​  

มารู้สึกเอาตอนปัจจุบันที่ต้องมากลายเป็นอดีต​ ใจหายเมื่อต้องจากลาห้องเรียนที่เคยอยู่


ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า​ บางอย่างที่มันออกไปจากวิถีของเรา​ มันอาจจะเป็นเรื่องที่ดี ก็ได้นะ

แฟนที่เคยคบหามาบอกเลิกลา​ หากมองโลกในแง่ดี​ ชีวิตพรุ่งนี้... มันอาจดีกว่าวันนี้ก็ได้​ จนทำให้เราเผลอปากพูดเบาๆว่า
ขอบใจ... ที่บอกลา​ ชีวิตดี๊ดี ! 

Share:

รักน้อยๆ​ แต่รักนานๆ

จริงๆแล้วผมทำ​ blog ส่วนตัวไว้เก็บงานเขียนของผมไว้นานหลายปีแล้วหละ​ ทำบ้างไม่ทำบ้างตามประสา
คิดได้ก็เลยเก็บมาเล่าให้ฟัง​ ไม่นานคง​ทะยอยเขียนเพื่ออัพเดทบ้าง

ปัจจุบันผมส่งงานเขียนอยู๋ที่​ blockdit​ ที่เต็มไปด้วยนักเขียนเกรด​A ทุกสาขาอาชีพ​ ผมเองก็ทำเนียนด้วยการหยอดบทความลงกะเขามั้ง

สุขแรกของผมคือการได้เขียน​ เขินๆอยู่บ้างเพราะไม่ได้เรียนจบเอกภาษาไทยอาจไม่ตรงตามไวยากรณ์หลักภาษา​ คิดได้ก็เขียนตามสไตล์ตัวเอง
สุขที่สองคือการได้ถ่ายภาพ​ทั้งภาพนิ่งและภาพวิดีโอ​ความสุขทั้งหมดทั้งมวน​  ผมจับมันมาใส่ใน​ ​Blog​  ส่วนตัวที่ชื่อว่า​  จิบชา.blogspot

ฝากติดตามหรือแสดงความคิดเห็น​ กดไลท์​ กดแชร์​ ด้วยนะครับ

รักน้อยๆ​ แต่รักนานๆ​ นะจ๊ะ​ จุ๊บ​ จุ๊บ
Share:

เบิ่งคัก คัก..ผีกองกอย


ผมขอหยิบบันทึกเหตุการณ์บางตอนของ" ภิกษุ บัว เหนือน้ำ " ตอนที่ท่านจาริกอยู่บนป่าเขาผ่านหนังสือเบิ่งคักคัก เกี่ยวกับเรื่องราวของผีกองกอย

ครั้งที่ท่านเดินพลัดหลงเข้าไปในป่าลึกที่ผีไม่ท่องคนไม่เที่ยว ทั้งวันหาทางกลับที่พักไม่ได้จนมืดค่ำตะวันตกดินความมืดมิดได้มาเยือนพร้อมเหตุการณ์สะเทือนขวัญดังข้อความที่ท่านบันทึกไว้ดังนี้...

"ขณะที่กำลังนั่งคิดปลงสังเวชถึงชีวิตที่จะต้องมาตายอยู่ ในท่ามกลางป่าลึกดงกว้าง ป่าช้างดงเสือ อยู่เพียงลำพังเดียวดายอยู่นั้น ข้าพเจ้าต้องตกใจตื่นสะดุ้งโหยง ขนลุกเกรียว พับผ่าเถอะ ไม่ทราบว่าเป็นผีหรือสัตว์กันแน่ที่กำลังจ้องเขม็งข้าพเจ้าอยู่ขณะนี้

มันจ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ และไม่ทราบว่าพวกมัน มาแต่เมื่อไหร่ตั้งสี่ตัว ทำไมมันถึงได้มาเงียบยิ่งกว่าสายลมดึก หยังงี้!

ข้าพเจ้านึกถึงภาพผีกองกอยทันที นึกถึงตอนที่มันแอบเข้ามาดูดเลือดคนนอนป่าอย่างเงียบกริบ ใช่แล้วภาพข้างหน้าจะ ต้องไม่เป็นมิตรกับข้าพเจ้าแน่ เพียงแต่ขณะนี้ไม่ทราบว่าพวกมัน เป็นผีป่าหรือสัตว์กันแน่ ข้าพเจ้ามองสำรวจท่าทีแต่ละตัว พวกมันก็ขยับเข้ามาใกล้ทุกขณะอย่างเงียบกริบห่างไม่ถึงสามวา ข้าพเจ้าดูภาพคล้ายสัตว์ประหลาดในนิทานเรื่องผีกองกอย

ครั้งแรกยอมรับว่ากลัวอยู่บ้างแต่เมื่อคิดปลงเสียแล้วว่ามันจะมาเหนือกว่าความเป็นพระของเราก็ให้รู้ไป ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าจะทำยังไง จึงตัดสินใจลุกขึ้นยืน อย่างรวดเร็วแล้วจับผ้าสังฆาสลัดอย่างแรง ๆ เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของเจ้าสัตว์ประหลาดทั้งสี่นั้น ตานี้ได้ผลเพราะพวกมันเผ่นหนีไปคนละทิศละทาง

แต่ที่ข้าพเจ้าประหลาดใจจริง ๆ คือความเร็ว ของมันนั้นเอง มันเผ่นหนีข้าพเจ้าไวเสียยิ่งกว่าเอฟ ๑๖หรือ มิก ๒๕ ของไอ้แกวเสียอีก เมื่อพวกมันหนีไปแล้วข้าพเจ้าก็โล่งใจ คิดว่าในป่าลึกดงกว้างนั้นยังมีอะไรอยู่มากมายที่ตกสำรวจ หรือ เครื่องมือสำรวจของนักนิยมไพรตามที่ข้าพเจ้าเคยได้อ่านยังไม่ถึง

คืนนั้นข้าพเจ้าจึงเตรียมที่จะรับมือกับเหตุร้ายต่าง ๆ ในป่าที่อาจจะ เกิดขึ้นได้ตามที่เคยได้ฝึกฝนและประสบมา หลังจากเจ้าตัวประหลาดทั้งสี่ตัวหนีไปแล้วประมาณ ๒ ชั่วโมงท่ามกลางแสงเดือนส่องแสงสลัวลอดผ่านแมกไม้

คืนนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องของสัตว์ป่าชนิดหนึ่งเสียงเย็นจับใจ เหมือนเสียงร้องนั้นจะคอยสะกดให้ข้าพเจ้าต้องอยู่ในอำนาจของเสียงนั้น คล้ายเสียงเย็นๆแหลมๆว่า ก่องก่อย ก็อก เสียงนั้น ดังอยู่ห่างกันเป็นจุด ๆ ประมาณเกือบสิบจุด

ข้าพเจ้าคิดในใจว่า หากเจ้าของเสียงร้องเป็นข้าสึกจะโจมตีข้าพเจ้าในค่ำคืนนี้ก็นับว่าพวกมันแสนฉลาดมากที่รู้จักใช้ยุทธภูมิจัดกำลังเป็นรูปขบวนดาวว่าว ในการจะขยี้ข้าศึกให้แหลกลาญ แล้วเจ้าของเสียงร้องที่เย็นจับใจนั้นก็ขยับเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าทุกขณะ

ใกล้จนข้าพเจ้าสามารถ มองเห็นตัวเจ้าของเสียงนั้นได้อย่างชัดเจนแล้วจึงรู้ว่าเจ้าของเสียงร้องที่เยือกเย็นไปถึงขั้วหัวใจว่า ก่องก่อย ก็อกๆๆๆ

ขณะนี้ก็คือไอ้สี่ตัวที่มันแอบจะเข้ามาจ้องตาข้าพเจ้าตอนหัวค่ำนั่นเอง ใช่แน่แล้วพวกมันคือผีกองกอย ตัวเล็ก ๆ เหมือนลิงแต่ สูงกว่าเกือบเท่าตัว นัยน์ตาติดกัน มีฟันโผล่ออกมาข้างหน้าสองซี่ ขนสีน้ำตาลแก่ไม่มีหาง มีลักษณะคล้ายลิงมาก

เมื่อเจ้าผีกองกอย มันมาร้องเสียงเย็น ๆ จนข้าพเจ้าก็ขนลุกขนพองและไม่สามารถ จะทนนั่งฟังต่อไปได้ เพราะไม่ทราบว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ในวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้านี้ จึงลุกขึ้นไปหอบเอาใบไผ่แห้ง กิ่งไม้แห้งมากองสุมรวมกันไว้เกือบสูงท่วมหัว แล้วก็จุดไม้ขีดสุมกองเศษไม้ใบไผ่แห้งนั้นจนลุกโพลงสว่างโล่

ขณะที่ไฟกำลังลุกโชติช่วงอยู่นั้นพวกมันทั้งสี่ตัวก็เผ่นแน่บหายไปตั้งแต่นั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็กระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจว่าผีหรือมันจะสู้คนได้ ที่ว่าแน่ ๆ ขนาดไอ้ลายพาดกลอนว่าแน่ก็เคยกลัวไฟจนตับลีบมาแล้ว

คืนนั้นข้าพเจ้าก็เป็นพระฤาษีบูชาไฟตลอดคืน จึงขอบอกเฉพาะญาติโยมที่ยังไม่พร้อมที่จะตายไว้ตรงนี้อีกครั้งว่าเวลานอนป่าแล้ว อย่าลืมก่อไฟแล้วกัน กันได้ร้อยแปดรวมทั้งยุงและตัวทากด้วยแล "

** ถ้าหากถามว่า..ผมเชื่อในเรื่องกองกอย หรีือไม่ ? ขอตอบว่า ผมไม่รู้ ผมไม่เห็น...ผมนอนนา !

**ขอบคุณภาพประกอบ คุณ : ,,, (j_rkitex) พันทิป.คอม/เฉลิมไทย






Share:

สองเรา ไม่เท่ากัน

ซ้ายมือในภาพน้องขาวผ่อง ส่วนขวามือน้องการ์ฟิว พวกเราไม่รู้หรอก ว่า 2 ทโมนเขานั่งคุยอะไรกัน สักครู่ก็พากันลุกขึ้นเดินไปยังห้องเรียน  คิดแง่บวก พวกเขาคงคุยกันว่า

 

“ ข้าหนะไม่ชอบอ่านหนังสือมาก ใกล้ถึงวันสอบทีไรไม่อยากจะจับหนังสือเลยหวะ ฟิวส์ “

“ เฮ้ย นายไม่อ่านหนังสือ นายจะไม่รู้อะไร นะ “

“เบา เบา สิ ! เอ็ง.. ก็อย่าพูดเสียงดัง คนอื่นได้ยินไปบอกแม่ข้า  ข้ามิบรรลัยดอกรึ.. ไอ้ ฟิวส์ “

“ เอ็ง..บอกเทคนิคการอ่านให้ข้าหน่อยสิ เผื่อว่าข้าจะชอบอ่านหนังสือ “ ขาวผ่องกระซิบขอความเห็น

“ ข้าก็ใช่ว่าจะเก่งนะ ที่ข้าอ่านหนังสือได้ปร๋อจนพวกพี่ๆอายจนม้วนเสือกลับบ้านเพราะความรู้ของข้ามันแลกมาด้วยเวลา นะเฟ้ย ไอ้ผ่อง “

จะบอกให้นะ เอ็ง อย่ากลัวการเริ่มต้นเพราะหากว่ารอ ก็จะไม่ได้ทำมันสักที

เอางี้สำหรับเคสเอ็งนะ ข้าจะบอก เอ็งไม่ต้องจริงจังมากมาย ทำตัวสบาย ๆ...รับรอง !

รับรอง อะไร หวะไอ้ฟิวส์

รับรองว่าแม่เอ็งจะแพ่งกะบาลเอ็งหนะสิ ...ฮ่า ฮ่า ฮ่า

เฮ้ย..บรรลัย แล้วฟิวส์ ครูเดินมาโน้น

อ้าว..เด็กทั้งสองมานั่งหลบอยู่ใต้ต้นไม้นี่เอง กลับเข้าห้องเดี๋ยวนี้ หนังสือหนังหายิ่งอ่านไม่ออกทั้งคู่เลย

ขาวผ่องมองหน้าการ์ฟิว...อ้าว ความรู้แลกมาด้วยเวลา ข้าหลงฟังเองมาตั้งนาน

“ ลุกขึ้น ไอ้ฟิวส์  ! ..ไปหัดอ่านหนังสือกับข้า !

Share:

มองภาพ...มองตัวเอง

เช้านี้ฟ้าสดใสอากาศเย็นสบายผมนั่งจิบชาคลายอารมณ์ที่หลังบ้าน ผมหยิบเจ้ากล้อง DSLR ขึ้นมาเปลี่ยนเลนส์ตัวใหม่เป็นเลนส์ฟิก 50 mm F 1.8 เล็กพริกขี้หนู ราคาสบายกระเป๋า ตอบโจทย์แนวพอทเทรด (Portrait) ถ่ายภาพบุคคลได้ดี 

ใครหลงหยิบไปถ่ายมีสิทธิ์ใจละลายหลงรักนางแบบไม่รู้ตัวเพราะเลนส์ตัวนี้ทำให้นางแบบสวยมีเสน่ห์ แต่ผมกลับนำไปใช้ผิดแนว ดันชอบถ่ายเสาไฟฟ้า ถนนหนทาง ซะงั้น 

ผมอยู่ในช่วงทดสอบ ทดลอง เวลาถ่ายภาพมักมองเป็นกราฟิก(Graphic) มองส่วนสว่างเป็นสีขาว มองส่วนมืดเป็นสีดำ แนวสายไฟระโยงระยางมองว่าเป็นเส้นสาย มองแบบ 2 มิติเป็นรูปร่าง(Shape) มากกว่า 

รูปทรง(Form) มิติ อย่าถามเรื่องหลักทฤษฎีถ่ายภาพเพราะมันไม่ใช่ประเด็น อย่าใส่ใจเรื่องของ Focus, Poor lighting หรือ Composition ภาพเพราะไม่ใช่สาระ 

เวลาถ่ายภาพไม่ได้มาคิดเป็นเรื่องถูกผิดหลักการ ผมลบรายละเอียดเหล่านี้ออกจากความคิดเพื่อให้ได้ความรู้สึกที่เป็นภาพศิลปะ ไม่ยึดติดรูปทรง (Form) 

ผมคิดแนวนี้ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดเหมือนผมหรือเปล่า ผมมีพรสวรรค์แบบเข้าใจอะไรยาก ถึงตอนนี้...ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
Share:

Popular Posts

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Followers

Social Icons

twitterfacebookgoogle pluslinkedinrss feedemail

โพสต์ ยอดนิยม

ไม้เรียวสร้างคน

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

กิจกรรมนักเรียนชั้นป.6 (นาเพียงเก่า)

About Us